Thonglor Clinic Pattaya (ทองหล่อ คลินิก)

หลายคนเชื่อว่าออกกำลังกายอย่างเดียวก็ลดความอ้วนได้แต่หลักจริงๆ สำหรับการลดความอ้วนคือการรับพลังงานเข้าไปในร่างกายต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับพลังงานที่ใช้ไปโดยรวม นั่นหมายความว่าการออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ได้ทำให้น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วและยั่งยืนนั้นต้องทำการควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย หลายคนอาจจะบอกว่ายาลดความอ้วนเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผอมอย่างรวดเร็วแต่ปัจจุบันมีการโฆษณาชวนเชื่อและเกินจริงซึ่งยาลดความอ้วนเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าอาหารหรือผลไม้อะไรบ้างที่กินแล้วไม่อ้วน

กีวี

กีวีเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ถ้าหากทานแค่ 2 ผลก็จะได้รับปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอสำหรับที่ร่างกายต้องการต่อวันแล้ว นอกจากนั้นยังมีไฟเบอร์จำนวนมากซึ่งไฟเบอร์จะทำให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีรสหวานแต่กีวีหนึ่งผลจะให้พลังงานเพียงแค่ 25 แคลอรีเท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมากๆ ทั้งนี้กีวีไม่ได้ให้ประโยชน์เพียงแค่เรื่องลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยเรื่องชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยลดจุดด่างดำใต้ผิว แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และช่วยป้องกันโรคท้องผูกอีกด้วย

แอปเปิลเขียว

แอปเปิลเหมาะที่จะเป็นอาหารในเมนูควบคุมน้ำหนัก โดยแอปเปิลจะช่วยลดความอยากอาหารลง ถึงแม้ว่าแอปเปิลจะมีน้ำตาลแต่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังเหมาะที่จะรับประทานเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดอีกด้วย เพราะแอปเปิลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำในปริมาณที่สูงและช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

ข้าวโอ๊ตอบ

ข้าวโอ๊ตถือเป็นธัญพืชชนิดไม่ขัดสีหากรับประทานไปแล้วจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้มากมาย เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยลดน้ำหนัก เพราะข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยใยอาหาร ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ลดการดูดซึมน้ำตาล ไขมันและของเสียต่างๆ นั่นหมายถึงเมื่อเราทานข้าวโอ๊ตในมื้อเช้า จะทำให้เราได้รับพลังงานและเติมกระเพาะของเราให้อิ่มและอยู่ได้นาน องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริการับรองว่า หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันอาจช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นจึงบอกได้ว่ากินข้าวโอ๊ตอบแล้วไม่อ้วนแน่นอนค่ะ อย่างไรก็ตามควรจะมีการรับประทานควบคู่กับอาหารชนิดอื่นให้หลากหลายด้วย

สำหรับคนที่ลดน้ำหนักแล้ววิธีการลดน้ำหนักง่ายๆ ที่หลายๆคนนึกถึงคือการรับประทานผลไม้แทนอาหารมื้อค่ำ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ทั้งยังได้รับประโยชน์จากแร่ธาตุและวิตามิน และสารอาหารจากผลไม้หลายๆชนิด แต่หลายๆคนคงจะลืมนึกไปว่าผลไม้เหล่านั้นอาจมีรสหวาน และอาจมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันว่าผลไม้ชนิดไหนบ้างที่กินแล้วอ้วน

ผลไม้ที่กินแล้วอ้วนอันดับ 1 คือทุเรียน

กระทรวงสาธารณสุขเคยออกมาเตือนแล้วว่า ไม่ควรรับประทานทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ดเพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงโดยเฉพาะคนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงต้องระวังเป็นอย่างมากเพราะอาจจะทำให้โรคกำเริบได้ และเมื่อทานทุเรียนแล้ว อาจทานผลไม้รสเย็นอย่างมังคุดเข้าไปด้วย ทุเรียน 100 กรัมให้พลังงาน 147 kcal (615 kJ)จะเห็นว่าทุเรียนให้พลังงานสูงมากๆ ทั้งนี้ยังให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูงมาก ก

มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

มะม่วงที่เราเห็นเป็นประจำก็คงไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก หรือมีการนำไปประกอบเป็นอาหารว่างต่างๆ เช่น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน และอื่นๆ และอีกหนึ่งเมนูที่เป็นที่นิยมในประเทศไทยคือข้าวเหนียวมะม่วงส่วนใหญ่ใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สุกซึ่งจะมีแคลอรีสูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาล และไขมันจากกะทิเป็นหลัก สำหรับหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดี การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่ามีปัญหาต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือน้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูงจึงควรจะรับประทานด้วยความระมัดระวัง

ลำไย

ลำไยถือเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันแบบสดๆ เพราะมีรสชาติที่หวาน ส่วนประกอบสำคัญในลำไย ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส ซูโครส ฟรักโทส และวิตามินชนิดต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 และบี 2 และมีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย ถึงแม้จะอุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ แต่จะเห็นได้ว่าส่วนประกอบหลักของลำไยคือน้ำตาล เพราะฉะนั้นหากใครกำลังลดน้ำหนักอยู่ ให้รับประทานลำไยในอัตราส่วนที่น้อย

กล้วยไข่

หลายคนมีวิธีลดน้ำหนักโดยการรับประทานกล้วยไข่แทนข้าวเย็น ถึงแม้ว่ากล้วยไข่จะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ แต่ก็มีรสชาติหวาน หากกินเพลินแค่ 100 กรัมก็ให้พลังงานสูงถึง 147 Calories กินแล้วอ้วนง่าย ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทานเข้าไปด้วย กินให้พอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องเก็บส่วนเกินเอาไว้

มังคุด

ราชินีแห่งผลไม้ที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชอบในรสชาติที่แสนอร่อย แต่สาวๆรู้หรือไม่ เงาะ 4 หรือ 100 กรัมให้พลังงาน 82 แคลลอรี่ต้องเผาผลาญโดยการเดินไป 30 นาที หรือวิ่ง 13 นาที  ว่ายน้ำ 10 นาที หรือปั่นจักรยาน 18 นาที ดังนั้นสาวๆต้องระวังเพราะมังคุดเป็นผลไม้ที่กินแล้วอ้วน

เงาะโรงเรียน

เงาะเป็นอีกผลไม้ที่กินแล้วอ้วนแน่นอน เพราะเงาะ 1 ขีดหรือ 100 กรัม ให้พลังงาน 67 แคลลอรี แล้ว แต่ปกติเราซื้อเป็นอย่างน้อย 1 กิโลกรัม เงาะซึ่งอุดมไปด้วยน้ำตาลต้องใช้เวลาในการเผาผลาญโดยการเดิน 24 นาที หรือ วิ่ง 11 นาที หรือว่ายน้ำ 8 นาที หรือปั่นจักรยาน 14 นาทีเชียวนะ

หลายปีมานี้เทรนด์ขาวใสแบบเกาหลีมาแรง จึงทำให้สาวไทยใส่ใจในผิวพรรณเป็นพิเศษ การที่จะทำให้ผิวขาวกระจ่างใสได้นั้นไม่ใช่เพียงแค่ทาโลชั่นที่ผสมวิตามินบำรุงผิวอย่างเดียว แต่ยังต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงวิตามินเสริมซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับสาวๆ ยุคใหม่อีกด้วย วิตามินผิวขาวที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว เช่น วิตามินซี สังกะสี Grape Seed Co-enzyme Q10 และ Evening primrose oil

วิตามินซี

วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น แบบเม็ด แคปซูล ลูกอม เม็ดแบบแตกตัวช้า แบบผง แบบเคี้ยวและน้ำเชื่อม วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส เนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติดังนั้นจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวิตามินผิวขาว นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวิตามินซีเสริมอาหารคือ 500-4000 มิลลิกรัม

สังกะสี

สังกะสีหรือซิงค์เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สังกะสีช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกายโดยเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน และที่สำคัญช่วยในการรักษาสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิวโดยที่สังกะสีไปรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง ช่วยควบคุมปัญหาการเกิดสิวอุดตันของไขมันซึ่งทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยและบรรเทาอาการของโรคหวัด รวมถึงมีความสำคัญต่อความเสถียรของเลือด และควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สังกะสีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ส่วนไฟเทตจะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสังกะสีได้ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานไฟเทตพร้อมกันกับสังกะสี ขนาดที่แนะนำให้รับประทานสำหรับผู้ใหญ่ต่อวันคือ  12-15 mg และไม่แนะนำให้รับประทานเกินกว่า 150 mg ต่อวัน

Grape Seed

อาหารเสริม Grape Seed หรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำลายคอลลาเจน ดังนั้นจึงช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสดูเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ผิวหน้าเนียนใส ชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้อย่างดีเยี่ยม สาร OPCs ในเมล็ดองุ่นซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยยับยั้งการเกิดเม็ดสีเมลานินที่มีมากเกินความจำเป็นซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดกระ ฝ้า และความหมองคล้ำบนใบหน้าอีกด้วย นอกจากนี้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นนี้สามารถทำงานร่วมกับคอลลาเจนได้ดีซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง หลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรงไม่เหี่ยวย่น หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย

Co-enzyme Q10

โคเอนไซม์คิวเทน หรือ คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน แหล่งที่พบโคเอนไซม์คิวเทนตามธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมาย คิวเทนมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง นอกจากนั้นยังช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้

Evening primrose oil

ในเมล็ดของ evening primrose มีน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันถึงสองชนิดซึ่งล้วนเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการเพื่อประโยชน์ในการทำงานของอวัยวะต่างๆ กรดไขมันชนิดแรกคือกรดไลโนลิอิค (Linoleic acid)ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในชั้นไขมันในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นหากมีกรดไขมันดังกล่าวอยู่ในร่างกายจึงมีส่วนช่วยในการป้องกันไม่ให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งเป็นขุย หรือหยาบกร้านได้ ส่วนกรดไขมันชนิดที่สองมีชื่อว่ากรดแกมมาลิโนเลนิก (Gamma linolenic acid)โดยกรดไขมันชนิดนี้กฎอยู่ในน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรสสูงถึง 7-10% ซึ่งช่วยชดเชยเอนไซม์ที่ร่างกายขาดหายไปส่งผลให้ร่างกายสามารถต่อต้านการอักเสบในร่างกายได้ รวมถึงให้สามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลากหลายประการ เช่น ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยเพิ่มความเปล่งปลั่งให้แก่ผิวพรรณ และช่วยลดอาการคันตามผิวหนังจากการขึ้นผื่น

หากพูดถึงการดูแลสุขภาพร่างกาย อย่างหนึ่งที่ใครๆหลายคนให้ความใส่ใจ และขาดไม่ได้ก็คือการกินอาหารเสริมจำพวกวิตามินต่างๆนั่นเองค่ะ และเชื่อเลยล่ะค่ะว่าสาวๆหลายคนมีอาหารเสริมและวิตามินติดบ้านไว้ไม่ต่ำกว่า 1-2 ชนิด และวิตามินนั้นมีให้เลือกหลากหลายชนิดจนบางครั้งก็อาจทำให้เราเลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินวิตามินชนิดไหนดี ในวันนี้เรามาทำความรู้จักอาหารเสริมและวิตามินกันให้มากกว่าเดิมดีกว่าค่ะ เพื่อที่เราจะได้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวิตามินต่างๆให้มากขึ้น และเลือกซื้อมากินได้อย่างถูกวัตถุประสงค์

วิตามินคืออะไร

วิตามินคือสารอาหารประเภทหนึ่งที่อยู่ในอาหาร มีส่วนช่วยในการทำปฏิกิริยาต่างๆในร่างกาย แต่ร่างกายนั้นต้องการวิตามินในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิตามินเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ตามธรรมชาติ หรือสังเคราะห์ได้ในปริมาณที่น้อยมาก จึงจำเป็นที่จะต้องรับสารอาหารนี้เพิ่มเติมจากแหล่งอาหารภายนอก เช่น อาหารที่เรากินเป็นประจำทุกวัน อาหารเสริมที่เป็นตัวยา เช่นวิตามินเม็ดที่เราเห็นทั่วไปตามท้องตลาด เป็นต้น

วิตามินซี อาหารเสริมสามัญประจำบ้านที่สาวๆควรมีติดตู้ยา

หากพูดถึงตัววิตามินที่สาวๆทุกคนต้องเคยกิน และมีสรรพคุณรอบด้าน ช่วยในทุกๆเรื่องของร่างกาย คงจะหนีไม่พ้นวิตามินซีค่ะ เพราะวิตามินซีถือว่าเป็นวิตามินตัวแม่ที่ช่วยเนรมิตทั้งความสวย และช่วยดูแลสุขภาพของสาวๆได้อย่างครบครันเลยทีเดียว

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายน้ำ และจะดูดซึมได้ดีเมื่อละลายน้ำแล้ว หากสาวๆต้องการได้ประโยชน์เต็มๆจากวิตามินซี จึงแนะนำให้สาวๆกินวิตามินซีพร้อมดื่มน้ำในปริมาณที่มาก วิตามินซีนั้นเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับมาจากภายนอก ซึ่งวิธีที่เป็นที่นิยมก็คือการกินวิตามินซีอัดเม็ด ที่มาในปริมาณ 500-1000 มิลลิกรัมต่อเมล็ด วิตามินซีมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งสาวๆมักเคยได้ยินว่ากินวิตามินซี จะช่วยต่อต้านการเป็นหวัดได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องจริง เพราะวิตามินซีจะช่วยส่งเสริมให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราดีขึ้น นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยในการรักษาซ่อมแซมร่างกายให้ฟื้นฟูได้เร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการแพ้อีกด้วย

ในเรื่องของความสวยความงามนั้น วิตามินซีก็ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของผิว หากกินเป็นประขำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผิวดูใส นุ่ม และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการชะลอความแก่ และลดเลือนการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ดีอีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะมีวิตามินชนิดเม็ดแล้ว จึงมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆที่ใส่วิตามินซีลงไปในผลิตภัณฑ์ และการที่วิตามินซีมีส่วนช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย จึงส่งผลให้ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยสิวต่างๆให้หายอย่างรวดเร็วอีกด้วย

วิตามินซีควรกินตอนไหน

และสาวๆอาจจะสงสัยว่า วิตามินซีควรกินตอนไหน ถึงจะทำให้เราได้ประโยชน์แบบเต็มๆ และร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด วิตามินซีนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากกินอาหาร ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการกินวิตามินซีก็คือกินพร้อมอาหารมื้อเช้าหรือมื้อเย็น เพราะหากมีปริมาณอาหารในกระเพาะ จะช่วยรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้สูงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพค่ะ

หรือหากสาวๆไม่สามารถกินวิตามินซีพร้อมอาหารมื้อเช้าได้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกินวิตามินซีคือช่วง 9 โมงเช้า ถึง 10 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่กระเพาะจะดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ และสาวๆไม่ควรกินวิตามินซีในช่วงที่ท้องว่าง เพราะวิตามินซีนั้นมีคุณสมบัติเป็นกรด ซึ่งจะไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร และไปทำลายสมดุลกรดในกระเพาะอาหารได้ค่ะ

เห็นไหมคะว่าวิตามินซีเนี่ย มีคุณสมบัติรอบด้านจริงๆเลยนะคะ ทั้งด้านสุขภาพและความงาม และที่สำคัญหากต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากวิตามินซีไปแบเต็มๆ ควรศึกษาวิธีการกินอย่างถูกต้อง อีกทั้งใส่ใจว่าวิตามินซีควรกินตอนไหน เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมวิตามินซีและนำไปใช้ได้ดีที่สุดนะคะ

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศก็ส่งผลให้หลายๆคนประสบปัญหาผิวแห้ง ปากแห้ง โดยเฉพาะปากที่แห้งแตกแบบรู้สึกได้ชัดเจน และอาจส่งผลให้ลอกเป็นขุยหรือเป็นแผลได้อีกด้วย ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยการใช้วาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลลี่ นั่นเอง

ปัญหาปากแห้งแตกจะหมดไปเมื่อใช้วาสลีนทาปาก

วาสลีนมีคุณสมบัติในการใช้ทาเพื่อเคลือบริมฝีปากให้นุ่มชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาและช่วยป้องกันไม่ให้มีการแห้งตึง ซึ่งสามารถพกติดตัวไปไหนมาไหนและหยิบออกมาทาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ลิปทรีทเม้นต์จากวาสลีนสำหรับดูแผลริมฝีปากโดยเฉพาะ ชื่อว่า Vaseline Lip Therapy  ให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบได้แก่

• วาสลีนลิปเทอร์ราพีแบบ Original ลักษณะเป็นเนื้อเจลเหมือนวาสลีนปิโตรเลียมเจลลี่และเป็นกลิ่นแบบธรรมชาติ ใช้ทาริมฝีปากให้นุ่มชุ่มชื้นได้ตลอดวัน
• วาสลีนลิปเทอร์ราพี แบบ Rosy Lips เป็นวาสลีนลิปที่ขายดีที่สุด มีจุดเด่นคือกลิ่นหอมจางๆของกุหลาบ และเวลาทาริมฝีปากก็จะมีสีชมพูอ่อนๆ ทำให้ดูมีสีสันสดใสมากขึ้น
• วาสลีนลิปเทอร์ราพี แบบ Cocoa Butter Butter จะมีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์ ที่ช่วยป้องกันรังสียูวีบีได้ในระดับหนึ่ง และมีกลิ่นหอมแบบวานิลา ที่ติดทนนานด้วย

ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้เป็นวาสลีนในกระปุกขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวกโดยมีปริมาตรเพียง 7 กรัม ราคา 199 บาท

วาสลีนทาปากมีประโยชน์อย่างไรและหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง

นอกจากวาสลีนจะมีประโยชน์กับริมฝีปากแล้ว ก็ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น

• ใช้ทาเพื่อรักษาส้นเท้าไม่ให้แห้งแตก โดยใช้ทาเป็นประจำทุกคืนแล้วสวมถุงเท้าก่อนเข้านอน
• ใช้ทาผิวที่แห้งและแตกหลังจากอาบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นข้อศอก มือ หัวเข่าด้วยการทาทับบางๆเพื่อเป็นการเก็บกักความชุ่มชื้นไว้กับผิว
• วาสลีนสามารถใช้ทาปลายผม เพื่อช่วยลดการแตกปลายและแห้งเสียของเส้นผมได้เป็นอย่างดี แต่ต้องไม่ใช้ปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ผมเหนียวได้
• สามารถใช้วาสลีนผสมกับเกลือทะเลแล้วนำมาสครับผิวได้ เป็นการช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม และไม่แตกหรือแห้งกร้าน
• ใช้วาสลีนทาที่ขอบตรงบริเวณส้นเท้าของรองเท้าคู่ที่ซื้อมาใหม่ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนสวมใส่ รองเท้าจะนุ่มขึ้น และช่วยแก้ปัญหาเรื่องราวเท้ากัดได้ผลเป็นอย่างดี

ผลิตภัณฑ์ของวาสลีนทั้งหมด สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เกตในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป หรือร้านขายยาต่างๆ เช่นวัตสัน ซูรุฮะ รวมถึงร้านขายสินค้าออนไลน์

ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งทางการแพทย์ ซึ่งหมายถึงการรักษาโดยการผ่าตัด แต่คำว่า “ศัลยกรรม” สำหรับคนในยุคปัจจุบันนั้นจะทำให้เรานึกไปถึง ศัลยกรรมความงาม ซึ่งศัลยกรรมประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมความสวยงามโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าอก ใบหน้า และรูปร่าง

การทำศัลยกรรมเพื่อความงามในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปรกติและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในสังคม ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีสถาบันความงามเปิดให้บริการมากขึ้นพร้อมเสนอบริการ ผลิตภัณฑ์ และโปรโมชั่นมากมายให้กับผู้หลงใหลในความงาม ซึ่งเหตุผลที่หลายๆ คนเลือกที่จะทำศัลยกรรมความงามนั้นคือ

• เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง บางคนเคยโดนล้อจนไม่มีที่ยืนในสังคมกลายเป็นปมด้อย ดังนั้นการทำศัลยกรรมทำให้เขาและเธอมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องเข้าสังคมพบปะผู้คน
• เพื่อโอกาสที่ดีในอนาคต บางคนต้องใช้ความสวยงามของรูปร่างหน้าตาในการทำงาน โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำงานในแวดวงการบันเทิง
• เสริมโหงวเฮ้ง ความเชื่อที่ว่าการปรับใบหน้าตามหลักโหงวเฮ้งจะช่วยให้ชีวิต หน้าที่การงานดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนเลือกที่ทำศัลยกรรม
• ศัลยกรรมตามกระแส คงปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมในปัจจุบันจะชอบคนผิวขาวใส หน้าตาดี เหมือนดารานักร้องเกาหลี นั่นจึงเกิดเป็นกระแสที่ทำให้หลายๆ คนอยากจะดูดีโดดเด่นบ้าง

สำหรับศัลยกรรมที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นศัลยกรรมใบหน้า เพราะใบหน้าเป็นจุดสนใจแรกเมื่อเราพบปะผู้คน ซึ่งอวัยวะบนใบหน้าที่หลายๆ คนนิยมทำศัลยกรรมคือ

• จมูก การศัลยกรรมจมูกเป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก ซึ่งทรงจมูกสันโค้งมนปลายหยดน้ำเป็นทรงที่นิยมที่สุด ตัดปีกจมูกสำหรับคนที่มีปลายจมูกกว้างและใหญ่ หรือตกแต่งกระดูกสันจมูกสำหรับคนที่มีปัญหากระดูกสันจมูกคด โก่ง
• ตา ปัญหาที่ทำให้หลายคนตัดสินใจศัลยกรรมตา เช่น ตาชั้นเดียว ตาสองชั้นหลบใน มีไขมันที่เปลือกตามากเกินไป เมื่ออยากมีดวงตากลมโต สดใส ดูมีเสน่ห์ การทำตาสองชั้นและการดูดไขมันบริเวณเปลือกตาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มความงาม
• ริมฝีปาก สำหรับคนที่มีริมฝีปากหนาอยากมีริมฝีปากเป็นทรงปากกระจับเรียวโค้ง ริมฝีปากบางแต่มีความอิ่มเอิบ ศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากจะช่วยให้มีเสน่ห์ชวนมองยิ่งขึ้น
• คาง เมื่อเสริมจมูกไปแล้ว การเสริมคางด้วยซิลิโคนจะเพิ่มความสมดุลให้กับสัดส่วนของใบหน้า และทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นด้วย
• ใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นความหมองคล้ำ หย่อนคล้อย ริ้วรอย ไขมันที่สะสมที่แก้ม ทำให้ต้องเพิ่มความขาวกระจ่างใส ความกระชับและเต่งตึง พร้อมใบหน้ารูปวีเชพ (V-Shape) เพื่อให้ดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น การฉีดสาร ร้อยไหม ตัดไขมันกระพุ้งแก้มจึงเป็นทางเลือกสำหรับศัลยกรรมใบหน้า

ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดในการศัลยกรรมเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ใบหน้าเป็นด่านแรกที่สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น และเราก็อยากจะคงความสวยงามนั้นให้อยู่กับเราตลอดไป ศัลยกรรมใบหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักความงาม

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง เกือบทั้งหมดเชื่อว่าต้องอยากมีหน้าอกสวยๆ ขนาดพอเหมาะดี ไม่แบนจนถูกล้อว่าเป็นไม้กระดานด้วยกันทั้งนั้น เพราะหน้าอกใหญ่ มองมุมไหนก็มีข้อดีและข้อได้เปรียบหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของรูปร่าง ซึ่งสาวอกใหญ่เวลาแต่งตัวในแบบที่ต้องเน้นรูปร่างทรวดทรงองค์เอว ก็จะดูโดดเด่นเป็นจุดสนใจของสายตาใครต่อใครมากกว่าสาวอกเล็กอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ สาวๆอกเล็กจึงจำเป็นต้องหาวิธีทำให้อกใหญ่ขึ้น จากการใช้ยานมใหญ่แบบทา ยานวด ยาสมุนไพร หรือแม้แต่ยาคุมกำเนิดที่ใช้ได้ผลและไม่เป็นอันตราย

ยานมใหญ่จากสมุนไพรธรรมชาติและอาหาร

หนึ่งในวิธีทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรมก็คือการใช้สมุนไพร อย่างเช่น กวาวเครือขาว แต่จะใช้แล้วได้ผลจริงหรือไม่ ต้องมาตามหาคำตอบกัน
กวาวเครือขาว มีสารพฤกษเคมีที่ชื่อว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายเป็นฮอร์โมนเพศหญิงและเมื่อปริมาณฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น การสะสมของไขมันที่หน้าอกก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยทำให้หน้าอกโตขึ้นนั่นเอง การใช้ กวาวเครือขาว เพื่อช่วยทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นจะอยู่ในลักษณะของแคปซูลที่มีสารสกัดเข้มข้น มีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรงเหมือนเป็นยานมใหญ่กระตุ้นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ที่กินเข้าไปแล้วสามารถทำให้หน้าอกใหญ่ได้จริง แต่ก็ต้องศึกษาข้อบ่งใช้กับผลข้างเคียงให้ดี หรือควรปรึกษาแพทย์ในการใช้จะดีที่สุด
นอกจากสมุนไพรกวาวเครือขาวแล้ว อาหารในชีวิตประจำวันที่มีคุณสมบัติทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นก็ ได้แก่

• น้ำมะพร้าว ซึ่งมีฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงที่ช่วยสร้างสัดส่วนร่างกายให้พร้อมสำหรับระยะสืบพันธุ์ นั่นก็คือการสร้างหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นนั่นเอง
• น้ำนมถั่วเหลืองทุกชนิดก็มีฮอร์โมนเพศหญิงสูงเช่นกัน เมื่อดื่มเป็นประจำก็จะทำให้ผิวเต่งตึง เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล หน้าอกใหญ่ขึ้นและไม่หย่อนคล้อยด้วย
• งาดำและถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง และอื่นๆ ซึ่งเป็นแหล่งของสารอาหารเช่น โปรตีน วิตามินบีและอี กรดไลโนเลอิก ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้หน้าอกเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย และมีขนาดใหญ่ขึ้น
• ผักกาดหอมสด เป็นผักที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยในเรื่องของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส รวมไปถึงหน้าอกที่เต่งตึงมากขึ้น

นอกจากสมุนไพรและอาหารแล้ว ก็ยังมีตัวยาอื่นๆ ที่เป็นสารสกัดต่างๆ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยให้อกใหญ่ขึ้น ในรูปแบบอาหารเสริม แคปซูล โดยทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางเลือกสำหรับสาวๆ อกเล็กที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกตัวเองโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม แต่สิ่งที่สำคัญก็คือความปลอดภัยจากการบริโภคที่ต้องศึกษาให้ดี โดยเฉพาะกรณีของยากับอาหารเสริมต่างๆ ต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องเท่านั้น

‘จมูก’ เป็นอวัยวะสำหรับทำหน้าที่หายใจ ดมกลิ่น และกรองอากาศก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งลักษณะจมูกของคนเราแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและกรรมพันธุ์ของแต่ละคน เช่น ชาวตะวันตกจมูกจะโตและมีสันจมูกโด่งกว่าชาวเอเชีย ซึ่งบางครั้งก็มีมากเกินความต้องการจนต้องทำศัลยกรรมตัดแต่งให้เล็กลง แต่บางคนมีจมูกแบนบานมีดั้งเล็กน้อยหรือไม่มีดั้งเลย ในปัจจุบันไม่ถือว่าเป็นปัญหา เพราะหมอศัลยกรรมทำให้คุณมีดั้งได้ ด้วยการเสริมจมูก เนื่องจากจมูกไม่ได้มีไว้แค่หายใจ จมูกที่สวยงามได้รูปจะนำมาซึ่งบุคลิกภาพที่ดี และเสริมสร้างความมั่นใจได้ด้วย

‘การเสริมจมูก’ เป็นการตกแต่งโครงสร้างของจมูกให้มีรูปร่างที่สวยงามขึ้น ศัลยกรรมการผ่าตัดเสริมจมูกนั้นทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งสามารถแก้ไขจมูกแบนได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แพทย์จะทำการเติมวัสดุเข้าไปเพื่อทำให้รูปทรงจมูกสูงขึ้นและสวยงามมากขึ้น สำหรับวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายชนิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ

1. ชิ้นส่วนจากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกในคนไข้ที่มีจมูกผิดรูป จากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการ เช่น ความพิการแต่กำเนิด เนื้องอก เป็นต้น ไม่นิยมสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อความงามทั่วไป
2.  วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคนแท่ง ที่ใช้อย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เพราะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ทำให้ร่างกายสามารถห่อหุ้มและยอมรับแท่งซิลิโคนยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี

แต่ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้จมูกที่สวยดั่งใจในการเสริมจมูก บางคนอาจจะประสบปัญหาเกี่ยวกับรูปทรงหรือซิลิโคน แต่อย่าลืมว่า ศัลยกรรมสร้างความสวยได้ และยังแก้ไขให้สวยมากขึ้นได้เช่นกัน

‘เอาจมูกออก’ เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากเสริมซิลิโคนจมูก แล้วไม่พอใจอยากถอดซิลิโคนออก หรืออาจเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ซึ่งมักจะเกิดคำถามตามมาว่า การถอดซิลิโคนออกส่งผลกระทบทำให้ใบหน้าและเนื้อจมูกของเจ้าของกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม? หรือรูปจมูกจะเปลี่ยนรูปไปอย่างไร? อันตรายไหม? ตอบได้เป็นกรณี ดังต่อไปนี้

ถ้าเกิดว่าเป็นการเสริมจมูกโดยใช้ซิลิโคนอย่างเดียวและทำแค่ครั้งเดียว ไม่มีการตะไบเนื้อกระดูกและไม่ได้เอาส่วนอื่นๆ เช่น กระดูกหลังหู เนื้อเทียม หรืออื่นๆ ใส่เข้าไปในจมูก การถอดซิลิโคนเอาจมูกออกสามารถทำให้จมูกเรากลับเป็นเหมือนเดิมได้ตามปกติ แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นระยะหนึ่ง

ถ้าเกิดว่าในขั้นตอนการทำจมูกมีการตอกกระดูกเอาเนื้อส่วนอื่นมาเสริม จะทำให้รูปทรงจมูกหลังการถอดซิลิโคนออกไม่สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้ เพราะกระดูกตรงที่ตอกออกไปไม่สามารถเอาคืนมาให้นูนเต็มเหมือนเดิมได้ ในกรณีนี้ เมื่อเอาจมูกออกแล้วก็อาจจะไม่กลับไปเหมือนก่อนเสริมจมูก

ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการติดเชื้อ หรือว่าซิลิโคนมีปัญหาเคลื่อนที่ ใกล้ทะลุ หรือใส่ไปแล้วหลายรอบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เนื้อเยื่อเกิดกระบวนการซ่อมแซมแก้ไขตัวเองหลายครั้ง  ทำให้เกิดพังผืดในเนื้อเยื่อของจมูกได้ ยิ่งมีการทำศัลยกรรมบ่อยครั้ง การเกิดพังผืดก็ยิ่งมากขึ้น หนามากขึ้นไป ทำให้เกิดการช้ำ  หรือเกิดรอยบุ๋มหลังการถอดซิลิโคนเอาจมูกออกได้ไม่มากก็น้อย

สุดท้ายสิ่งที่ขอฝากไว้คือ ไม่ว่าจะเสริมจมูกเข้า หรือเอาจมูกออก ควรจะต้องคิดให้รอบคอบ ที่สำคัญต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการผ่าตัดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และได้จมูกที่สวยดั่งใจด้วย

ถึงแม้ว่าเรื่องสิวจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมีสิวมากวนใจ ทำให้ใบหน้าใสๆต้องมีปัญหาหลายอย่างตามมา หรืออาจจะถึงขั้นต้องเสียเงินไปให้หมอช่วยรักษาอีกด้วย ดังนั้น การป้องกันไม่ให้ใบหน้าเกิดปัญหาสิวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งถ้าศึกษาดีๆ แล้วก็จะพบว่ามีเคล็ดลับหน้าใสไร้สิวหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพ หากทำตามพร้อมกับดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

เคล็ดลับหน้าใสไร้สิวด้วยพืชสมุนไพร

สำหรับเคล็ดลับหน้าใสไร้สิวที่จะแนะนำต่อไปนี้ จะเป็นเคล็ดลับการรักษาผิวหน้าที่เคยมีปัญหาสิวให้กลับมาหน้าใสเหมือนเดิมและเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาสิวกลับมาอีกเลยด้วย เป็นวิธีง่ายๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยใช้พืชสมุนไพร ดังนี้

• น้ำปั่นจากใบสะระแหน่ ผักสมุนไพรในครัวที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว วิธีทำก็แค่นำใบสะระแหน่สดไปปั่นในเครื่องปั่นหรือถ้าไม่มีจะใช้วิธีตำและคั้นเอาน้ำก็ได้  จากนั้นก็ใช้น้ำใบสะระแหน่ทาบางๆให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีทุกวันแล้วค่อยล้างออก วิธีนี้นอกจากจะเป็นการรักษาสิวหรือรอยสิวแล้ว ยังป้องกันผดผื่นคันได้ด้วย
• นำกระเทียมสดมาปอกเปลือกฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วค่อยๆลูบไล้บริเวณที่มีปัญหาสิวเบาๆ จะช่วยลดเลือนรอยแผลจากสิวให้จางลงได้ หรือถ้าเป็นสิวอยู่ก็จะทำให้ยุบตัวได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยยับยังแบคทีเรียป้องกันไม่ให้สิวอักเสบ
• มะขามเปียก ที่เห็นอยู่ในครัวบ่อย ก็นำมารักษาสิวได้เช่นกัน ถ้ามีน้ำผึ้งด้วยก็จะดีมากแต่ถ้าไม่มีก็ใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยให้ดูเข้มข้นแล้วนำไปทาบริเวณที่เป็นสิวหรือมีรอยแผล รอยแดงจากสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีค่อยล้างออก จะช่วยทำให้รอยแผลจางหายไปได้อย่างรวดเร็ว
• ว่านหางจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่สามารถนำมาทาเพื่อช่วยลดปัญหาสิวอย่างได้ผลเช่นกัน ใช่แค่เนื้อว่านหางจระเข้อย่างเดียวไม่ต้องผสมอย่างอื่นทาบริเวณที่มีปัญหาสิว นอกจากจะลดเลือนรอยแผลและจุดด่างดำได้แล้ว ก็ยังป้องกันฝ้าได้เช่นกัน

เมื่อทราบถึงเคล็ดลับต่างๆ ของพืชผักสมุนไพรเหล่านี้แล้ว การดูแลรักษาและป้องกันปัญหาสิว ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ลองเข้าครัวสักครั้ง ก็จะได้ประโยชน์ดีๆจากพืชผักสมุนไพรไทยมากมาย ซึ่งเคล็ดลับต่างๆที่ได้นำเสนอไปก็เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีสมุนไพร พืชผัก รวมทั้งผลไม้อีกหลายอย่างที่มีคุณประโยชน์ในการช่วยดูแลผิวหน้าให้เนียนใสไร้สิว แต่ที่สำคัญคือต้องทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลตามต้องการ